Bono & The Edge A Sort of Homecoming with Dave Letterman (2023) เต็มเรื่อง ติดตาม David Letterman ตอนที่เขาร่วมกับนักเล่นดนตรี U2 Bono แล้วก็ The Edge สำหรับในการแสดงการแสดงดนตรีระหว่างการเยี่ยมเยือนดับลินครั้งแรกของเขา การชี้แนะ: ในรูปภาพยนตร์สารคดีการแสดงดนตรีที่ทุกคนรออย่างใจจดใจจ่อ “Bono & The Edge: A Sort of Homecoming with Dave Letterman” ไอคอนเพลง Bono รวมทั้ง The Edge
ซึ่งมีชื่อเสียงจากหน้าที่ในตำนานของวงดนตรีร็อคชื่อดังสุดยอด U2 พาผู้ชมเดินทางอย่างใกล้ชิดรวมทั้งน่าเร้าใจผ่านเรื่องราวอาชีพของพวกเขา ควบคุมโดยผู้ผลิตภาพยนตร์มีชื่อ Martin Scorsese ภาพยนตร์หัวข้อนี้เก็บการแสดงคืนสู่เหย้าที่ไม่ซ้ำใครเมื่อวงดนตรีกลับมารวมกลุ่มกับ David Letterman ผู้จัดรายการรายการทอล์คโชว์ในตำนาน ประสบการณ์การดูภาพยนตร์ที่น่าสนใจดวงใจนี้ผสมการสัมภาษณ์อย่างไม่อ้อมค้อม ฟุตเทจเบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วก็การแสดงสดที่ยากจะลืมเพื่อฉลองมรดกที่จีรังยั่งยืนของ U2
เรื่องราว: Bono & The Edge A Sort of Homecoming with Dave Letterman (2023) เต็มเรื่อง
“งานคืนสู่เหย้า” เจาะลึกชีวิตของ Bono และก็ The Edge สองบุคคลที่มีอำนาจที่สุดในวงการดนตรีร่วมยุค ภาพยนตร์พรีเซ็นท์จุดเริ่มนิดๆหน่อยๆของพวกเขาในดับลิน ไอร์แลนด์ รวมทั้งการจัดตั้ง U2 ในช่วงปลายสมัย 70 ผู้ชมจะได้มองเห็นการก้าวขึ้นสู่ความเป็นศิลปินของวงและก็ผลพวงที่พวกเขาสร้างในวงการดนตรีสุดยอดด้วยอัลบั้มที่แปลกอย่าง “The Joshua Tree,” “Achtung Baby” แล้วก็ “All That You Can’t Leave Behind”
หัวใจของภาพยนตร์หัวข้อนี้อยู่ที่การกลับมาเจอกันครั้งพิเศษของพวกเขากับ David Letterman ผู้จัดรายการรายการทอล์คโชว์ยามดึกอันดัง ซึ่งเคยให้วงดนตรีในรายการของเขาหลายที ด้วยไหวพริบปฏิภาณรวมทั้งเสน่ห์ที่หาตัวจับยากของเล็ตเตอร์แมน การตอบสนองระหว่างผู้ดำเนินรายการแล้วก็นักเล่นดนตรีก็เลยเต็มไปด้วยขณะที่อบอุ่นและก็เฮฮา เคมีระหว่างเพื่อนพ้องอีกทั้งสามนั้นกระจ่างแจ้งเมื่อพวกเขารู้สึกนึกถึงการเจอกันทีแรกและก็แบ่งปันเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากมิตรภาพอันนานของพวกเขา
การแสดงดนตรี: ภาพยนตร์จบสิ้นลงด้วยการแสดงดนตรีสดที่น่าทึ่งซึ่งจัดขึ้นในดับลิน ซึ่ง U2 มอบการแสดงอันทรงอำนาจ ด้วยวิธีการอันช่ำชองของสกอร์เซซี ผู้ชมจะถูกพาไปที่แถวหน้าของการแสดงดนตรี สัมผัสมนต์ขลังรวมทั้งพลังที่ดนตรีของ U2 อย่างใกล้ชิด เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bono และก็ริฟฟ์กีตาร์ที่ปลุกจิตวิญญาณของ The Edge ย้ำเตือนให้โลกทราบว่าเหตุไรวงนี้ก็เลยยังคงเป็นเลิศสำหรับในการแสดงที่เป็นที่ชอบใจสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
ข้อมูลเชิงลึกเบื้องหน้าเบื้องหลัง: Bono & The Edge A Sort of Homecoming with Dave Letterman (2023) เต็มเรื่อง นอกจากดนตรีรวมทั้งการแสดงแล้ว “งานคืนสู่เหย้า” ยังพรีเซ็นท์มุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับกรรมวิธีการประดิษฐ์ของวง บทสัมภาษณ์ของ Bono และก็ The Edge เปิดเผยให้มีความเห็นว่าพวกเขาจัดแจงกับความโด่งดัง ใจความสำคัญด้านสังคม และก็พัฒนาการของดนตรีในตอนหลายทศวรรษได้ยังไง ภาพยนตร์หัวข้อนี้ยังเจาะลึกถึงความอุตสาหะด้านมนุษยธรรมของพวกเขา โดยย้ำถึงความขมักเขม้นของพวกเขาที่มีต่อปัจจัยต่างๆตั้งแต่การบรรเทาความแร้นแค้นไปจนกระทั่งการตระหนักถึงความเคลื่อนไหวลักษณะภูมิอากาศ
มรดกแล้วก็ผลพวง: Bono & The Edge A Sort of Homecoming with Dave Letterman (2023) ในเวลาที่ภาพยนตร์ประเด็นนี้ตรวจผลพวงที่ลึกซึ้งของ U2 ต่อวัฒนธรรมแฟชั่น มันย้ำถึงความรู้ความเข้าใจของวงในการเชื่อมความแตกคอและก็นำผู้คนมารวมกันผ่านดนตรี ตั้งแต่ถนนในไอร์แลนด์ไปจนกระทั่งเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งโลก ดนตรีของ U2 ได้สะท้อนหัวใจผู้ชมทุกภูมิหลัง พิสูจน์ให้มีความคิดเห็นว่าอิทธิพลของพวกเขามีมากยิ่งกว่าความเบิกบานใจเพียงอย่างเดียว
ผลสรุป: “Bono & The Edge: การคืนสู่เหย้ากับ Dave Letterman” เป็นการฉลองมิตรภาพ ดนตรี และก็จิตวิญญาณที่จีรังยั่งยืนของ U2 โดยแสดงความยำเกรงต่อการเดินทางอันน่าทึ่งของวงดนตรี พร้อมพรีเซ็นท์มุมมองแบบสนิทสนมในชีวิตของสองไอคอนที่ดนตรี เมื่อภาพยนตร์หัวข้อนี้เก็บรวบรวมเรื่องราวส่วนตัว บทสัมภาษณ์ที่ขวานผ่าซาก รวมทั้งการแสดงอันน่าละลานตา
มันตอกย้ำซ้ำเติมจุดยืนของ U2 ที่ไม่เพียงแค่เป็นมหาอำนาจทางดนตรีเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นยังเป็นกำลังขับเขยื้อนสำหรับในการเปลี่ยนเชิงบวกในโลกอีกด้วย ภาพยนตร์สารคดีการแสดงดนตรีที่น่าประทับใจนี้จะก่อให้ผู้ชมได้รับแรงดลใจและก็ย้ำเตือนถึงสัญลักษณ์ที่ลบไม่ออกที่ Bono, The Edge รวมทั้ง U2 ได้ทิ้งเอาไว้ภายในโลกของดนตรีแล้วก็อีกเยอะแยะ
รีวิวหนัง “Dream ดรีม”
ถึงคิวของหนังประเทศเกาหลีที่โชคร้ายไม่มีช่องทางได้ลงโรงฉายในบ้านพวกเรา แม้กระนั้นไปโผล่ทางสตรีมมิ่งเจ้าดังเลย นี่เป็น “Dream ดรีม” ภาพยนตร์ตลกดราม่าที่จะว่าเป็นหนังเรื่องกล้วยๆๆแต่ว่าก็ไม่เล็กเท่าใด แต่ว่าก็สร้างพลังฟีลกู้ดให้กับผู้ชมได้อย่างจังๆกับสไตล์หนังที่มองได้เพลินแล้วก็ชักชวนถูกใจเข้าถึงเรื่องราวได้อย่างง่ายๆ พิจารณาออกมาเป็นหนังที่น่าจะเป็นหนังได้รับความนิยมได้ในทันทีทันใด
Dream เกิดเรื่องราวของ ยุยงนฮงแด นักกีฬาบอลชายหนุ่มอนาคตใกล้ แต่ว่าเขากลับจำต้องประจันหน้ากับแรงกดดันและก็ใจความสำคัญฉาวโฉ่ที่ทำให้ทางการเป็นนักเตะอาชีพของตนเองใกล้จะริบรี่ลงทุกครั้ง ทำให้เขาได้รับข้อเสนอแนะให้มาเป็นผู้ฝึกสอนกับกลุ่มบอลกลุ่มหนึ่ง เพื่อสนับสนุนพวกเขาไปสู่การเป็นผู้แทนชาติไปชิงชัยในระดับนานาชาติ มันก็คือกลุ่มบอลของฝูงคนไม่มีบ้าน มือสมัครเล่นที่แทบขาดทักษะใดๆก็ตามและก็เต็มไปด้วยภูมิหลังดราม่าที่แสนเข็ญ แม้กระนั้นจุดหมายของพวกเขาจะเสร็จได้หรือเปล่า?
นี่เป็นผลงานดูแลและก็เขียนบทของนักสร้างชายหนุ่ม “อีบยองฮุน” ที่เคยปังสุดๆจากหนัง Extreme Job แล้วก็ซีรีส์ Be Melodramatic เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา นี่เป็นการกลับมาจับทำหนังของเขาอีกรอบ ภายหลังหันไปเอาดีสร้างซีรีส์อยู่ยาวนานหลายปีในตอนวัววิดระบาด และก็งานสร้างของเขาก็ยังคงเสน่ห์ในรายละเอียดกับการปูทางปูเรื่องขายติดอยู่แรกเตอร์เด่นๆให้กับผู้แสดงในหนังได้อย่างเต็มเปี่ยมอีกรอบ อันเป็นจุดแข็งของหนังสไตล์อีบยองฮุน
Dream บางครั้งก็อาจจะเป็นหนังที่แทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ เค้าโครงเรื่องก็มิได้มีอะไรสลับซับซ้อน ไล่เรียงมาแบบง่ายๆไม่ต้องคิดพินิจพิจารณาแล้วก็กลายเป็นผลึกอะไร ดังนี้เองก็ทำให้เป็นหนังดูแล้วรู้สึกย่อยง่าย เป็นหนัง 2 ชั่วโมงที่มองได้เพลิดเพลินๆกับแนวทางของเรื่องที่แทบจะเป็นสูตรสำเร็จและไม่ได้ออกนอกกรอบเดิมไปนิดหน่อยเดียวเลย แต่ว่าก็ยังเต็มไปด้วยอรรถรสความเพลิดเพลินที่ผู้ชมจะได้เอ็นหน้าจอยไปกับมัน อีกทั้งความตลกขบขันผสมดราม่าแบบหนังประเทศเกาหลีทำกันเป็นประจำ
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ Dream ช่วยเหลือตัวหนังไปได้รอดโน่น ก็จะต้องชูให้กับกลุ่มผู้แสดงของหนังหัวข้อนี้ ที่เปลี่ยนเป็นลักษณะเด่นแล้วก็ไฮไลต์ที่ปังที่สุดของเรื่อง เพราะเหตุว่าพวกเขามารับบทในติดอยู่แรกเตอร์ต่างๆที่ออกจะเด่น บทหนังสามารถวางตัวละครต่างๆได้แบบมีเอกลักษณ์ส่วนตัวได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังแทรกสอดภูเขาไม่หลักให้กับผู้แสดงที่ยิ่งทำให้ผู้ชมสนิทสนมพวกเขาเยอะขึ้นด้วย
รีวิวหนัง “The Exorcist: Believer หมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์
และก็นี่ก็คืออีกหนึ่งตำนานสยองขวัญของฮอลลิวูด ที่ยังคงมีความอุตสาหะที่ปัดฝุ่นแล้วก็ถือขึ้นมาจากกล่องเก่าๆมาหารับประทานใหม่อยู่เรื่อยกลับมาในคราวนี้กับ “The Exorcist: Believer หมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์: ผู้เชื่อถือ” ที่ยังมากับเส้นเรื่องของมารอยู่ร่างมนุษย์ ที่ยังคงอิงหัวข้อความเลื่อมใสและก็แรงเลื่อมใสในศาสนาอีกเหมือนปกติ เพียงแต่ว่ามันจะยังเวิร์กอยู่กับโลกในตอนสมัยปี 2020s หรือไม่?
The Exorcist: Believer หมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์: ผู้เลื่อมใส เล่าการของ แอนเจลา กับ แคคุณลีน เด็กผู้หญิงวัย 12 ที่ล่องหนไปในป่าข้างหลังสถานที่เรียน ก่อนที่จะเผยตัวกลับมาอีกรอบในอีก 3 วันให้ข้างหลัง แม้กระนั้นพวกเขากลับปราศจากความทรงจำอะไรก็ตามเกี่ยวกับตอนที่ล่องหนไป ก่อนที่จะเริ่มมีความประพฤติแปลกๆที่แสดงออกมาต่อครอบครัว ทำให้พวกเขามั่นใจว่าพวกคุณถูกผีสางอยู่ จนกระทั่งจำต้องพึงจะพาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสำหรับเพื่อการขับไล่ไสส่งขจัดปัดเป่าในตำนาน
สำหรับในภาคนี้ได้ผู้กำกับสายสยดสยองที่สมัย อย่าง “ เดวิด กอร์ดอน กรีน” มารับหน้าที่ดูแลงานสร้าง betflix09 พร้อมทั้งร่วมเขียนบทหนังด้วย เขาเพิ่งประสบผลสำเร็จปังสุดๆจากหนังชุด Halloween สามภาคปัจจุบัน รวมทั้งนี่ถือได้ว่าเป็นการตั้งความหวังใหม่ของแฟรนไชส์นี้ที่ต้องการจะปลุกปั้นสร้างออกมาให้ปังอีกหัวข้อ เพียงโชคร้าย ที่การกลับมาคราวนี้ของหมอปราบผีเอ็กซอร์ซิสต์ บางทีก็อาจจะยังไม่ถึงขนาด..ดุเด็ดเผ็ดมันเท่าใด
เปลี่ยนไปเป็นว่า The Exorcist: Believer ค่อนข้างจะเพลย์เซฟในตนเองไปสักนิด จะหลอนก็หลอนไม่สุด จะชั่วร้ายก็โหดเหี้ยมแบบไม่ถึง จะดรามาก็ค่อนข้างจะจืดจาง ทำให้ส่วนประกอบหลายๆอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินตามเส้นเรื่องของหนังในภาคนี้ออกจะน้อยลง ไม่หนักแน่นซักเท่าไหร่ เป็นหนังสยองขวัญที่แตะต้องไม่ถึงต่อมอารมณ์อะไรก็ตามได้อย่างน่าผิดหวัง
บทหนัง The Exorcist: Believer ออกจะรสมือเบาไปหน่อย ท่ามกลางกระแสหนังสยองขวัญยุคนี้ที่ขันแข็งยังอย่างครึกโครม ใครๆก็จะต้องแงะเอาลักษณะเด่นจุดเด่นของตนเองออกมาโชว์ แม้กระนั้นปรากฏว่าการกลับมาคราวนี้ของหมอปราบผีค่อนข้างจะไม่มีเสน่ห์ ถึงจะมีแรงดึงดูด กลับไม่สามารถที่จะสร้างความเกี่ยวข้องให้ผู้ชมรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโครงเรื่อง บทหนังค่อนข้างจะเต็มไปด้วยจุดแหว่งในหลายๆจุด แล้วก็ขาดความซาบซึ้งใจไป
ช่วงเวลาที่โทนความหลอนของหนังก็ออกจะรสจืดจาง เล่าไปแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆไป กว่าจะเกริ่นปูเรื่องแล้วก็เข้าเนื้อหาก็ขว้างไป 30 นาทีแล้ว ถึงแม้หนังจะประเดิมของเรื่องมาได้ค่อนข้างจะน่าดึงดูด ด้วยการจับใส่เหตุหายนะครั้งใหญ่ระดับนานาชาติเข้ามาโยงใยด้วย แต่เปลี่ยนเป็นว่าไม่อาจจะเชื่อมต่ออะไรกับภาพรวมได้ทั้งปวง
นอกจากนั้น The Exorcist: Believer ยังอุตสาหะอย่างยิ่ง มานะที่จะเซอร์วิสแฟนหนังเริ่มแรก ด้วยการถือเอานักแสดงเก่าๆใส่เข้ามาด้วย แต่ว่าแปลงเป็นว่าใส่เข้ามาแบบซุกซนๆได้ตำนาน “เอลเลน เบอร์สตีน” กลับมาเป็น คริส แม็กนีล อีกที แต่ใส่เข้ามาอย่างงั้นๆราวกับสตูดิโอหนังอยากที่จะให้ใส่เข้ามาก็ใส่ โดยที่ไม่นึกถึงความมีเหตุมีผลอะไรสักเท่าไหร่นัก